วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2553

ตรวจตาหาอัลไซเมอร์ อีกห้าปีเดินเข้าร้านแว่นได้รู้กัน



นักวิทยาศาสตร์ในอังกฤษพบวิธีการตรวจตาอย่างง่ายๆ จะมีส่วนช่วยในการค้นหาว่าผู้ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์หรือโรคอื่นๆ ก่อนที่กลุ่มอาการดังกล่าวจะพัฒนาไปมากกว่านั้น

เทคนิคดังกล่าวใช้ตัวแสดงฟลูออเรสเซนต์ซึ่งจะเข้าไปจับเซลล์ที่ตายแล้ว ที่สามารถมองเห็นได้ในเรตินาและเป็นการบอกได้แต่ต้นว่ามีเซลล์สมองตายหรือไม่ การวิจัยดังกล่าวเป็นการทำงานของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน ที่กำลังทำการทดลองกับหนู และมีแผนว่าจะทำการทดลองกับคนในปลายปีนี้

งานวิจัยนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร "เซลล์เดธแอนด์ดีซีส" จะมีส่วนช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เอาชนะความยากลำบากในการตรวจหาว่ามีอะไรเกิดขึ้นในสมองของผู้ป่วยอัลไซเมอร์ เทคนิคการตรวจอย่างใหม่นี้จะช่วยนักวิทยาศาสตร์ติดตามร่องรอยความก้าวหน้าของโรคในสมองด้วยการดูไปที่เซลล์ตายในเรตินา โดยเซลล์

นั้นจะแสดงเป็นจุดสีเขียวเพราะว่าดูดซับการย้อมสีฟลูออเรสเซนต์ศาสตราจารย์ฟรานเซสกา คอเรเดโร หัวหน้าคณะทีมวิจัย กล่าวว่า "เป็นไปได้ว่าในอนาคตเราอาจจะเดินไปยังร้านตรวจสายตาเพื่อตรวจตาและจะได้รับการตรวจภาวะสมองของเราไปด้วย ดิฉันหวังว่าภายใน 5 ปี เราคงจะได้ใช้วิธีการตรวจหาอัลไซเมอร์แบบนี้กัน".
อ้างอิงจาก หนังสืพิมพ์ไทยรัฐ
โดยทีมงาน kampongduku

วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2553

โรคอ้วนลงพุง...มฤตยูร้ายทำลายสุขภาพ

โรคอ้วนลงพุง...มฤตยูร้ายทำลายสุขภาพ



คนส่วนใหญ่มักมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้นอย่างมากเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น การมีน้ำหนักเกินจากเกณฑ์มาตรฐาน อาจเป็นที่มาของ โรคอ้วนลงพุง หรือ Metabolic Syndrome ซึ่งโรคนี้เป็นกลุ่มปัจจัยเสี่ยงทางเมตาบอลิก ประกอบด้วย อ้วนลงพุง (ไขมันในช่องท้องมากเกิน) ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ (ไตรกลีเซอไรด์สูง, เอชดีแอลคอเลสเตอรอลต่ำ และ แอลดีแอลคอเลสเตอรอลสูง) ความดันโลหิตสูง ระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติ

สำหรับเกณฑ์ในการวินิจฉัยนั้น The National Cholesteral Education Program (NCEP) Adult Treatment Panel II (ATP III), American Heart association (AHA) และ The National Heart, Lung, and Blood Institute เสนอแนะว่าหากมีปัจจัยเสี่ยง 3 ใน 5 อย่างต่อไปนี้จัดเป็น metabolic Syndrome ได้แก่ เส้นรอบวงเอวสำหรับคนเอเชีย ผู้ชายเท่ากับหรือ มากกว่า 90 เซนติเมตร ผู้หญิงเท่ากับหรือมากกว่า 80 เซนติเมตร ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด เท่ากับหรือมากกว่า 150 มก./ดล. เอชดีแอลคอเลสเตอรอล (ผู้ชาย- น้อยกว่า 40 มก./ดล, ผู้หญิง - น้อยกว่า 50 มก/ดล) ความดันโลหิต เท่ากับหรือมากกว่า 130/85 มม.ปรอท ระดับน้ำตาลในเลือด เท่ากับหรือมากกว่า 100 มก/ดล.

พญ.รัชดา เกษมทรัพย์ ชมรมโภชนวิทยามหิดล เปิดเผยว่า โรคอ้วนลงพุง หรือ Metabolic Syndrome เป็นฆาตกรเงียบที่หลายคนคาดไม่ถึง ส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมการบริโภค กรรมพันธุ์ และการไม่ออกกำลังกาย คนที่อ้วนลงพุงจะมีไขมันสะสมในช่องท้องมากเกินไป ซึ่งไขมันที่สะสมนี้จะแตกตัวเป็นกรดไขมันอิสระเข้าสู่ตับ มีผลให้อินซูลินออกฤทธิ์ได้ไม่ดี เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน จนเกิดเป็นภาวะอ้วนลงพุง ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคเรื้อรังต่างๆ ตามมา เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน เป็นต้น ซึ่งเราสามารถวางแผนการรับประทานอาหารด้วยการควบคุมน้ำหนัก ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินให้ถูกชนิด ปริมาณ และถูกเวลา รวมทั้งเคลื่อนไหวร่างกายให้มากขึ้น



แม้ว่าไขมันจะเป็นสาเหตุของการเกิดโรคร้ายต่างๆ แต่ไขมันเป็นสารอาหารสำคัญที่ร่างกายขาดไม่ได้ ทั้งยังเป็นส่วนประกอบในอาหารทุกมื้อจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก อ.ศัลยา คงสมบูรณ์เวช นักกำหนดอาหารขึ้นทะเบียนวิชาชีพประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ให้การปรึกษาด้านโภชนบำบัด ได้แนะนำว่า ในสมัยก่อนนักโภชนาการส่วนใหญ่จะแนะนำให้ผู้บริโภคทานอาหารที่มีไขมันต่ำ จนทำให้หลายคนกลัวการกินไขมัน แต่กลับบริโภคอาหารคาร์โบไฮเดรตมากขึ้น บางคนไม่กินไขมันหรือกินน้อยมากจนทำให้ขาดกรดไขมันจำเป็นไปเลยก็ว่าได้ แต่ในปัจจุบันมีข้อมูลการวิจัยใหม่ๆ แนะการเลือกชนิดของไขมันหรือน้ำมันที่ดี ในปริมาณที่เหมาะสมกับพลังงานที่ใช้ไปในชีวิตประจำวัน เพื่อลดความเสี่ยงโรคได้ น้ำมันที่ดีที่ควรรับประทาน ควรมีองค์ประกอบของกรดไขมันอิ่มตัวต่ำและไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียวสูง ได้แก่ น้ำมันมะกอก น้ำมันเมล็ดชา น้ำมันคาโนลา เป็นต้น ซึ่งจะช่วยลดระดับคอเลส เทอรอลโดยไม่ลดเอชดีแอล ช่วยลดไตรกลีเซอไรด์ได้ และสามารถนำไปใช้แทนคาร์โบไฮเดรตได้ด้วย

“น้ำมันเมล็ดชา” มีใช้ในราชวงศ์ซ้องของจีนมากว่า 2,300 ปี โดยได้มีการบันทึกคุณสมบัติด้านสุขภาพไว้ว่าช่วยลดคอเลสเทอรอล ปัจจุบันมีกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และการวิจัยถึงคุณสมบัติที่ดีของน้ำมันเมล็ดชา พบว่าน้ำมันเมล็ดชามีสัดส่วนกรดไขมันชนิดต่างๆ ในปริมาณที่ดีไม่ด้อยไปกว่าน้ำมันมะกอก คือ มีกรดไขมันอิ่มตัวต่ำ มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียวในรูปของกรดโอเลอิกสูงถึง 88% มีกรดไขในไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งในรูปของโอเมกา 6, 3 เป็นต้น นอกจากนี้ ยังอุดมด้วยวิตามินเอ บี ดีและอีสูง ซึ่งวิตามินอีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระจึงช่วยยืดอายุการใช้งานของน้ำมันให้นานขึ้น และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง คือสารแคททีชิน ซึ่งเป็นสารโพลีฟีนอลที่ช่วยลดการออกซิเดชั่นของแอลดีแอล จึงช่วยป้องกันหลอดเลือดตีบตัน และป้องกันการอักเสบของเนื้อเยื่อ ลดอนุมูลอิสระ จึงช่วยลดความเสี่ยงปัญหาสุขภาพ และน้ำมันเมล็ดชา สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายชนิด เช่น น้ำสลัด ผัด ทอด หรือการหมัก เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การใช้น้ำมันจะต้องเลือกชนิดและอ่านฉลากข้อมูลโภชนาการให้ละเอียด รวมทั้งรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในสัดส่วนที่เหมาะสม เน้นผักผลไม้ที่มีกากใยมากๆ และต้องออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยจึงจะช่วยส่งเสริมสุขภาพ ลดความเสี่ยงโรคร้าย และห่างไกลภาวะอ้วนลงพุง

ที่มา : ดร. อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์ ประธานมูลนิธิคุณแม่คุณภาพ


อ้างอิงจาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 17-1-53 เวลา 16.38

โดย ทีมงานกัมปงดูกู

ป้องกัน เด็กสายตาสั้นได้ ถ้าให้โดนแดดกลางแจ้งวันละ 2-3 ช.ม.



สภาวิจัยเมืองจิงโจ้แสดงความแปลกใจที่เด็กๆของชาติเอเชียตะวันออกพากันสายตาสั้นกันมาก ศึกษาวิจัยพบเหตุส่อว่า อาจจะเป็นเพราะไม่ค่อยได้ตากแดด แนะให้ควรจะออกมาโดนแดดกลางแจ้ง นานวันละไม่น้อยกว่า 2 ชม.

ศาสตราจารย์เอียน มอร์แกน แห่งสภาวิจัยออสเตรเลีย กล่าวว่า ได้ศึกษาพบหากเด็กได้มีโอกาสถูกแสงสว่างไสวทุกวัน วันละสัก 2-3 ชม. จะช่วยควบคุมการเติบโตของตา ป้องกันการเกิดสายตาสั้นได้อย่างน่าทึ่ง

อาจารย์เอียนเล่าว่า ปัญหาสายตาสั้นมักเป็นกับผู้ที่เล่าเรียนสูง และก็พบว่าเด็กๆตามชาติเอเชียตะวันออก เช่น ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลี ญี่ปุ่น และจีน พากันเป็นกันมาก ยิ่งคนสิงคโปร์ เมื่อออกจากโรงเรียน ล้วนแต่ต้องใส่แว่นกันมากถึงร้อยละ 90 แม้แต่เด็กอายุแค่ 6-7 ขวบ ก็ใส่แว่นกันถึงร้อยละ 30 แล้ว "เทียบกับเด็กออสเตรเลีย ที่เป็นกันอยู่เพียงร้อยละ 20 ซึ่งเรารู้สึกแปลกใจมาก" เขากล่าวต่อไปว่า "ได้พบว่าเด็กสิงคโปร์มีโอกาสได้ออกมาเจอแดดข้างนอกน้อย เฉลี่ยแค่วันละ 30 นาทีเท่านั้น เทียบกับเด็กออสเตรเลีย ซึ่งออกมาอยู่กลางแจ้งวันละ 2 ชม."

เขาสรุปว่า "อาจจะเทียบได้ว่าการศึกษาเล่าเรียนทำให้สายตาสั้น แต่การออกมาอยู่กลางแจ้งอาจจะเป็นเครื่องช่วยชะลอเอาไว้ได้".
อ้างอิงจาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวนที่ 18-1-53 เวลา 16.31น.

วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2553

นอนกรน-นอนไม่หลับ

ปัญหาน่าห่วงของคนไทย



ปีผ่านมากระแสสังคมไทยตื่นรู้ ด้านสุขภาพ แต่ยังกระจุกตัวอยู่ในชนชั้นกลางจนถึงชนชั้นบน ส่วนกลุ่มผู้ใช้แรงงานหรือชนชั้นล่างยังคงถูกมองข้ามบ่อยครั้ง และดูเหมือนปัญหาเหล่านี้เรื้อรังมานาน โดยเฉพาะปัจจุบันการครองชีพของคนในหัวเมืองใหญ่ ขาดการดูแลสุขอนามัยที่ถูกสุขลักษณะ แม้รู้ทั้งรู้ แต่ก็ต้องดำเนินต่อไปอาจเพราะ “ไม่มีทางเลือกหรือเลือกไม่ได้”

ปัญหา การนอนกรนและอาการนอนไม่หลับ เป็นอีกปัจจัยที่หลายคนได้รับผลกระทบ และมีแนวโน้มคนไข้ที่เข้ามารักษามากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อีกหลายคนยังมองเป็นเรื่องธรรมดา แต่อาจส่งผลให้ร่างกายของผู้ป่วยมีโรคร้ายแรงตามมาได้

อาการนอนไม่หลับกระสับกระส่าย นพ.โยธิน วิเชษฐวิชัย จิตแพทย์ โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท เล่าถึงสาเหตุของปัญหาว่า ขณะนี้มีผู้ป่วยด้วยโรคนอนไม่หลับมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนวัยทำงานและคนชรา เนื่องจากภาวะสังคมที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจ ซึ่งพบว่าเกิดจาก 1.โรคทางกาย ส่งผลกระทบให้เกิดความเจ็บปวดจนนอนไม่หลับ เช่น อาการปวดหัวเป็นไข้ไอทั้งคืน ฯลฯ 2.โรคจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้าวิตกกังวล 3. เสพสารเสพติด เช่น กาแฟ บุหรี่ เหล้า และหากร้ายแรงจะเป็นพวกยาบ้า โคเคน ยาอี ยาไอซ์ การดื่มเหล้า บางคนอาจเถียงว่ากินช่วงแรก ๆ แล้วหลับ แต่พอใช้ไปเรื่อย ๆ จะทำให้ระบบการนอนผิดปกติ

“คนไข้ส่วนใหญ่เป็นโรคทางจิตใจมากเพราะสภาพสังคมบังคับให้ต้องสอบแข่งขันตั้งแต่ชั้นอนุบาล ขณะที่ค่านิยมของคนทำงานมักยึดติดในตำแหน่งสูง ๆ รายได้ดี ๆ ขับรถดี ๆ ต้องมีบ้านสวย ๆ สาเหตุหนึ่งที่กระตุ้นให้เกิดโรคจิตเวช ซึ่งอาจไม่ใช่สาเหตุทั้งหมดแต่เป็นประเด็นหนึ่ง ขณะเดียวกันพื้นฐานการเลี้ยงดูหรือพันธุกรรมที่อ่อนแออยู่แล้วก็เป็นตัวกำหนด เพราะพอเจออะไรกระทบเข้าก็เกิดโรคขึ้นมาได้ แต่ไม่ใช่ทุกคน”

คนในเมืองมีปัญหามากกว่าคนชนบท ซึ่งการนอนไม่หลับแบ่งอาการออกเป็น 1. หลับยาก คือ เข้านอนแล้ว 2-3 ชม. กว่าจะหลับ สาเหตุเกิดจากพฤติกรรมการนอน เช่น เคยนอนตี 3 แล้วต้องมานอนเที่ยงคืน ทำให้ปรับตัวไม่ทันหรืออาจมาจากการใช้สารเสพติด 2. คุณภาพการนอนไม่ดี คือ หลับแล้วสะดุ้งตื่นขึ้นมา ฝันร้าย นอนกัดฟัน รู้สึกว่าหลับแต่ใจไม่หลับ 3. ชั่วโมงการนอนสั้น ปริมาณการนอน น้อย พวกนี้จะรักษาต่อเมื่อ ก่อปัญหาให้คนไข้ แต่ในบางคนนอน 3-4 ชม. ตื่นมาสดชื่น ทำงานได้ ไม่เกิดโรคความดัน เบาหวาน เครียด ก็ไม่จำเป็นต้องรักษา

มีข้อมูลพบว่า คนที่มีความผิดปกติในด้านการนอนไม่หลับ ต้องนอนไม่หลับอย่างน้อย 4 ครั้ง ใน 1 อาทิตย์ และเป็นเวลา 4 อาทิตย์ติดต่อกัน ถ้ามีปัญหาตรงนี้ควรจะมาหาหมอ แต่ถ้าไม่มีปัญหา เดือนละครั้ง สองครั้ง ก็ไม่เป็นไร ส่วน วัยที่นอนไม่หลับคือ วัยทำงานกับวัยชรา ซึ่งวัยทำงานมีการแข่งขันสูง ทำให้ก่อนนอนต้องมีการเตรียมตัวว่าพรุ่งนี้จะต้องทำอะไร ขณะที่วัยชราไม่มีอะไรทำ รู้สึกเคว้งคว้างทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า อาการของการนอนไม่หลับของสองช่วงอายุพบว่าต่างกัน ในวัยทำงานจะหลับยาก แต่วัยชราคุณภาพการนอนจะไม่ดี เพราะโครงสร้างร่างกายมีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดอาการนอนสั้น เช่น คนทั่วไปนอนวันละ 8 ชม. แต่พออายุมากขึ้น บางคนนอนแค่ 6 ชม. สาเหตุเป็น ได้หลายอย่าง แต่ ปัจจัยหลักคือ คนชราไม่ได้ใช้พลังงาน

“อนาคตกลุ่มคนที่นอนไม่หลับจากการใช้สารเสพติดจะมีมากขึ้นเพราะคนเดี๋ยวนี้ชอบสะดวก เครียดแล้วไม่รู้จะทำอะไรก็กินยาพวกนี้ เมื่อใช้ไปเรื่อย ๆ ร่างกายจะปรับตัวต้านยาทำให้ไม่มีความสุขในช่วงหลัง ๆ พอหยุดยาแล้วอารมณ์วิตกหนัก ไม่อยากทำอะไร บางคนการนอนไม่หลับก็สามารถทำให้ตัดสินใจฆ่าตัวตายได้ ขณะเดียวกันการนอนไม่หลับจะเร่งให้คนไข้ป่วยเป็นโรคมะเร็ง เอสแอลอี ความดันโลหิตผิดปกติ เบาหวาน”

แนวทางแก้ไขอาการนอนไม่หลับคือ เข้านอนตื่นนอนตรงเวลา ปรับสิ่งแวดล้อมในห้องนอนให้รู้สึกผ่อนคลาย ออกกำลังกายเป็นประจำ หลีกเลี่ยงใช้สารเสพติดที่มีฤทธิ์กระตุ้นก่อนนอน เช่น กาแฟ ชา น้ำอัดลม เหล้า บุหรี่ ขณะเดียวกันควรทาน นม โยเกิร์ต ไข่ ก่อนนอน เพื่อให้หลับสบายขึ้น

นอกจากนี้ไม่ควรใช้เตียงทำกิจกรรมอื่น ๆ นอกจากการมีเซ็กซ์ เพราะจะทำให้เกิดการเรียนรู้จนทำให้เมื่อถึงเวลานอนไม่ยอมนอน ก่อนนอนควรมีกิจกรรมผ่อนคลาย เช่น นั่งสมาธิ สวดมนต์ อาบน้ำอุ่น หรือจุดกำยานหอมก่อนนอน และควรให้ผิวหนังโดนแดดอ่อน ๆ เช้า-เย็น และไม่ควรแอบงีบหลับตอน กลางวัน ซึ่ง ในรายที่อนุโลม ให้หลับได้ช่วงเวลา 14.00- 15.00 น.

ด้านอาการนอนกรน นพ.วรพงษ์ เวชวิชานิยม ศัลยแพทย์ โสต ศอ นาสิก โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท เล่าว่า สามารถแบ่งเป็น กรน อย่างเดียวกับหยุดหายใจเวลากรน โรคเหล่านี้มีอัตราเพิ่มมากขึ้นเพราะมีคนอ้วนมากขึ้น ประกอบกับความเพลียและภาวะตึงเครียดในการใช้ชีวิต ซึ่งในคนที่มีน้ำหนักเกิน ทำให้โครงสร้างของโพรงจมูกและหลอดลมผิดปกติ เช่น จมูกตีบแคบ, เป็นโรคภูมิแพ้, ริด สีดวงจมูก, ไซนัสโพรงจมูกหรืออะไรก็ตามที่ทำให้โพรงจมูกตีบแคบจนทำให้หายใจ ไม่สะดวก ซึ่ง หากทางเดินหายใจตีบแคบมากเกินไปจะเกิดการหยุดหายใจ

กลไกของสาเหตุที่ว่าน้ำหนักมากหรือจมูกมีปัญหาต่าง ๆ คือ หายใจไม่ได้เพราะว่ามันตีบแคบ จึงต้องพยายามสูบลมเข้า เหมือนการสูบลมเข้ามันก็จะเกิดแรงดูดคล้ายกับการดูดกาแฟ หากหลอดกาแฟที่ดีต้องแข็ง ถ้าหลอดกาแฟที่อ่อน พอออกแรงมันก็จะบี้ลม ฉะนั้นเมื่อสูดหายใจแรง ๆ ก็จะเกิดแรงดูด ทำให้ช่องคอส่วนไหนที่อ่อนนิ่มถูกแรงดูดทำให้แคบมากขึ้น ส่วนตรงไหนที่สามารถสะบัดได้ เช่น ลิ้นไก่ เพดานอ่อน ก็จะเกิดการสะบัดทำให้เกิดเสียง

ขณะเดียวกันในคนที่นอนหงาย เพดานอ่อนหรือลิ้นไก่ก็จะหล่นไปกระจุกบริเวณลำคอ ซึ่งถ้าคนไหนช่องคอแคบอยู่แล้วพอหล่นลงไปก็จะไปปิดสนิททำให้เกิดการสะบัดของลมที่ปะทะกับอวัยวะต่าง ๆ จนเกิดเสียงขึ้น หลายคนที่หายใจไม่เข้าจะกรนเสียงดังอย่างไม่เป็นจังหวะ เดี๋ยวเงียบ เดี๋ยวเบา การเงียบคือหยุดหายใจ พอเริ่มกรนใหม่จะเบาลงแล้วก็เริ่มดังขึ้น

สามารถแบ่งระดับของการกรนออกได้เป็น 1. นอนหงายแล้วกรน นอนตะแคงแล้วจึงหาย 2. ไม่ว่านอนหงายหรือนอนตะแคงก็ยังกรน อยู่ 3. นั่งหลับแล้วยังกรน เป็นอาการหนักสุดเพราะท่านั่งทางเดินลมหายใจจะเปิดออก แต่ถ้ายังกรนอยู่แสดงว่าทางเดินหายใจแคบมาก ส่วนใหญ่จะเกิดกับคนอ้วน สามารถนำไปสู่โรคหัวใจ เช่น หัวใจขาดเลือด กล้ามเนื้อหัวใจตาย ความดันโลหิตสูง ความดันของเลือดในปอดสูง สมองขาดออกซิเจนไปเลี้ยงอาจ ทำให้เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต เนื่องจากขาดออกซิเจนซ้ำแล้วซ้ำอีก การกรนธรรมดาถือเป็นปัญหาสังคมเพราะจะทำให้เกิดปัญหาการหย่าร้าง และพบว่าผู้ชายเป็นมากกว่าผู้หญิง ซึ่งอายุที่มากขึ้นก็มีส่วนให้เกิดการกรนได้

แนวทางแก้ไข ควรลดน้ำหนัก นอนตะแคงหากไม่ได้ผลให้หาสาเหตุ เช่น โพรงจมูกแคบหรือช่องคอตีบจึงไปแก้ที่ส่วนนั้น หรือใช้เครื่องอัดอากาศที่จะช่วยให้ลมเข้าไปในช่องทางกายใจได้โดยตรง ส่วนหมอนหรือ สเปรย์ ยากิน ใช้ไม่ได้ผล

“ฝากถึงประชาชนที่กำลังเป็นโรคนี้อยู่ หากมีอาการกรนดังมากจนคนข้าง ๆ เริ่มบ่น หรือกรนดังกระโชกโฮกฮากไม่เป็นจังหวะ อ้วนหรือมีอาการอ่อนเพลียตอน กลางวัน แม้จะนอนมามากแล้วก็ยังอ่อนล้า ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษา”

อาการนอนกรน-นอนไม่หลับ หลายคนอาจมองเป็นเรื่องไกลตัว แต่วันนี้กลายเป็นสิ่งใกล้ตัวกว่าที่คิด ซึ่งจะพอกพูนให้ท่านเกิดโรคร้ายตามมาได้.

สรรหามาบอก

- ชมรมโรคลมชักเพื่อประชาชน ร่วมกับสมาคมโรคลมชักแห่งประเทศไทย ขอเชิญประชาชนผู้สนใจร่วมรับฟังการบรรยายความรู้สำหรับประชาชนในหัวข้อ “ผู้หญิงกับลมชัก” โดย พญ.มาลัย พาณิชย์พงษ์ แพทย์โรงพยาบาลพญาไท 1 และ นพ.สมจิต ศรีอุดมขจร แพทย์สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ใน วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม 2553 เวลา 12.30-15.45 น. ณ ห้องประชุมพญาไท ชั้น 11 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลราชวิถี โดยไม่เสีย ค่าใช้จ่ายใด ๆ สนใจสอบถามรายละเอียดและสำรองที่นั่งได้ที่ โทร.0-2201-1482, 0-2354-7075 ต่อ 3175

- โรงพยาบาลไทยนครินทร์ ขอเชิญผู้รักสุขภาพทุกท่านเข้าร่วมรับฟังการบรรยายเรื่อง “หูไม่ได้ยิน แก้ไขได้หรือไม่” โดย พญ.ลลิดา เกษมสุวรรณ ใน วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม 2553 เวลา 09.30-15.00 น. ณ ห้องประชุมใหญ่ชั้น 4 โรงพยาบาลไทยนครินทร์ ผู้สนใจลงทะเบียนเข้ารับ ฟังการบรรยายและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-2361-2727 ต่อ 3042, 3056

- ภาควิชาพยาบาลศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ขอเชิญประชาชน ผู้สนใจรับฟังบรรยายเรื่อง “รู้เท่าทันป้องกันโรคกระดูกพรุน” ในวันพุธที่ 27 มกราคม 2553 เวลา 08.30-12.00 น. ณ ห้องประชุมอรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ ศูนย์การแพทย์สิริกิติ์ ชั้น 5 โรงพยาบาลรามาธิบดี สนใจติดต่อสอบถามข้อมูลหรือสมัครเข้าฟังบรรยายได้ที่โทร.0-2201-2521, 0-2201-1091-3, 0-2201-2355.

เคล็ดลับสุขภาพ

รู้ทันต้อกระจก....ดวงตาคู่สวยไม่มืดมน

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวสะเทือนวงการแพทย์เรื่องการผ่าตัดตาผู้ป่วยต้อกระจกและเกิดติดเชื้อจนตาบอด ทำให้หลายคนขาดความเชื่อมั่นในการรักษาของแพทย์รวมทั้งอยากทราบข้อมูลเกี่ยวกับโรคต้อกระจกกันยกใหญ่ วันนี้ “เคล็ดลับสุขภาพดี” พลาดไม่ได้พาคุณผู้อ่านไปทำความรู้จักกับโรคนี้กันอย่างใกล้ชิด

พญ.ยุพิน ลีละชัยกุล จักษุแพทย์ ศูนย์จักษุกรุงเทพ โรงพยาบาลกรุงเทพ ให้ความรู้เบื้องต้นว่า “ต้อกระจก” (Cataract) คือ ภาวะที่เลนส์แก้วตาขุ่น แสงจึงผ่านเลนส์เข้าไปยังจอประสาทตาได้น้อยลง หรือบางครั้งการขุ่นนั้น จะก่อให้เกิดการหักเหแสงที่ผิดปกติไปโฟกัสผิดที่ทำให้จอประสาทตารับแสงได้ไม่เต็มที่ ผู้ป่วยจึงตามัวลงโดยไม่มีอาการอักเสบหรือเจ็บปวดใด ๆ ยิ่งเลนส์แก้วตาขุ่นขึ้น การมองเห็นก็จะยิ่งลดน้อยลงเรื่อย ๆ เป็นสาเหตุที่สำคัญอันดับหนึ่งที่ทำให้ผู้สูงอายุตามัวลง แต่ต้อกระจกไม่ใช่โรคติดต่อและไม่ลุกลามจากตาข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่ง ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นพร้อมกันทั้งสองข้าง ส่วนการใช้สายตาและสภาวะของอาหารการกินนั้นไม่เป็นสาเหตุของต้อกระจก และไม่เป็นปัจจัยที่จะทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้น โดยต้อกระจกมักเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ กว่าสายตาของผู้ป่วยจะขุ่นมัวจนรู้สึกได้ อาจต้องใช้เวลานานหลายเดือนหรือหลายปี

อาการของต้อกระจก คือ ตามัวลงช้า ๆ เหมือนมีฝ้าหรือหมอกบังแต่ไม่มีอาการปวดตา เห็นภาพซ้อน สายตาพร่า สู้แสงไม่ได้ เห็นดวงไฟแตกกระจายโดยเฉพาะในเวลากลางคืน บางรายอาการระยะแรกของต้อกระจกคือ จะมีสายตาสั้นมากขึ้น ๆ ทำให้ต้องเปลี่ยนแว่นสายตาบ่อย ๆ ในที่สุดเมื่อต้อกระจกขุ่นมาก สายตาจะมัวโดยที่แว่นตาช่วยให้ชัดไม่ได้อีกต่อไป ถ้าปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษาในระยะเวลาอันสมควรจนต้อกระจกสุกมาก รูม่านตาที่ปกติเห็นเป็นสีดำจะกลายเป็นสีเหลืองหรือขาวขุ่น เกิดอาการแทรกซ้อนตามมาโดยผู้ป่วยจะมีอาการปวดตาอย่างรุนแรงและตาแดงมาก เนื่องจากโรคลุกลามกลายเป็นโรคต้อหินเฉียบพลันและม่านตาอักเสบ จนกระทั่งตาบอดได้ในที่สุด

ปัจจุบันมีวิทยาการในการรักษาโรคต้อกระจกด้วยคลื่นอัลตราซาวด์ ที่เรียกว่าวิธี “สลายต้อกระจก” พร้อมทั้งใส่เลนส์แก้วตาเทียม เป็นวิธีการรักษาที่ช่วยให้สายตาของผู้ป่วยดีขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ต้องรอให้ต้อสุกก่อน ผู้ป่วยจึงไม่จำเป็นต้องทนทรมานกับสายตาที่มัวลงเพื่อรอให้ต้อสุกที่อาจจะนานเป็นปี แต่อย่างไรก็ตาม ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการดูแลความสะอาด และระวังไม่ให้มีอุบัติเหตุกระทบกระแทกต่อดวงตา หากผู้ป่วยเริ่มรู้สึกมีอาการอึดอัดกับการที่สายตามัวลงจนเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันหรือการทำงานสามารถมาปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อรับการรักษาได้

ต้อกระจกไม่ใช่โรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม แต่ที่เราพบว่าญาติผู้ใหญ่ในครอบครัวหลายคนเป็นต้อกระจกก็เพราะว่าการขุ่นของเลนส์แก้วตาในโรคต้อกระจกนั้นเกิดจากการเสื่อมของเลนส์แก้วตาตาม วัย คล้าย ๆ กับที่ผู้สูงอายุทุกคนจะมีผมหงอกขาวนั่นเอง

เมื่อเราหลีกเลี่ยงการเป็นต้อกระจกไม่พ้น แต่ด้วยวิทยาการอันทันสมัยของยุคปัจจุบันทำให้ต้อกระจกไม่น่าเป็นห่วง เพราะสามารถผ่าตัดรักษาให้กลับมามองโลกสดใสได้อีกครั้งและควรป้องกันต้อกระจกด้วยการสวมแว่นตากันแดดทุกครั้งที่ออกแดดเพื่อป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลตเอและบี โดยการเลือกแว่นที่มีขนาดใหญ่ปิดขอบตาได้จะดีมาก และควรงดหรือลดการสูบบุหรี่ลงเพื่อสุขภาพตาที่ดี

เมื่อทราบทั้งวิธีรักษาและวิธีป้องกันต้อกระจกแบบนี้แล้วหวังว่าคุณผู้อ่านคงคลายความกังวลลงได้บ้าง และอย่าลืมเลือกรับประทานผักผลไม้ให้เพียงพอต่อวันด้วย เพราะผักผลไม้มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งการที่มีสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายน้อยอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคต้อกระจกได้ โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคเบาหวานควรควบคุมน้ำตาลให้ดีและหมั่นไปพบจักษุแพทย์อย่างสม่ำเสมอเพื่อตรวจสุขภาพดวงตาให้มีสุขภาพดีอยู่คู่กับเราไปนาน ๆ.

อ้างอิงจาก เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 18-1-53 (หมวดวาไรตี้)

โดยทีมงาน กัมปงดูกู